All-English final: เช็คผลงานที่ผ่านมาของ 2 ทีมยักษ์ใหญ่อังกฤษกว่าจะได้มาชิงกันเองในชปล.
6 พฤษภาคม 2564, 11:30 น. · 268
ข่าวฟุตบอลล่าสุด หลังจากที่ เชลซี ฝ่าด่าน เรอัล มาดริด แชมป์ 13 สมัย เข้าไปชิงดำกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นคู่ชิงที่น่าดูอย่างมาก เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพตัวผู้เล่น รวมถึงกุนซือ โดย "เรือใบสีฟ้า" ลุ้นแชมป์ยุโรปสมัยแรก ส่วนทางฝั่ง "สิงห์บลูส์" ก็หวังเป็นแชมป์สมัยที่สอง และก่อนที่จะถึงเกมรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งจะฟาดแข้งกันที่สนาม อตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดี้ยม นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม เราไปเช็คผลงานและเส้นทางของทั้ง 2 สโมสรกันว่าฝ่าด่านทีมไหนมาบ้าง
** แมนเชสเตอร์ ซิตี้
"เรือใบสีฟ้า" ภายใต้การนำทัพของกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผ่านเข้าสู่รอบชิงฯ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรอย่างยิ่งใหญ่ หลังปราบคู่แข่งในรอบตัดเชือกอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แบบสวยหรู ด้วยสกอร์รวมสองนัด 4-1 ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า ไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะในรอบก่อนหน้านี้ เปแอสเช สามารถโค่น บาร์เซโลน่า รวมถึงแชมป์เก่าอย่าง บาเยิร์น มิวนิค มาได้ และตลอดเส้นทาง 12 นัด จนถึงรอบชิงฯ ของ แมนฯ ซิตี้ นั้น ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ โดยมีเสมอแค่นัดเดียว นอกนั้นชนะรวด!!!... น่าสนใจเหลือเกินว่า พวกเขาจะปิดซีซั่นนี้ด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้หรือไม่ เพราะ คาราบาว คัพ ได้มาแล้ว ขณะที่ พรีเมียร์ลีก ก็จ่อการันตีแชมป์เต็มที ซึ่งถ้าหากกวาดแชมป์ทั้งสามรายการได้จริง ก็จะถือเป็นฤดูกาลที่สุดยอดมากๆ สำหรับ "เรือใบสีฟ้า"
**ผลงานใน ชปล. ซีซั่นนี้
สถิติ : ชนะ 11, เสมอ 1, แพ้ 0, ยิงได้ 25, เสีย 4
ดาวซัลโวสูงสุด : เฟร์ราน ตอร์เรส, ริยาด มาห์เรซ (4 ประตู)
รอบแบ่งกลุ่ม : แชมป์กลุ่ม ซี, ชนะ ปอร์โต้ 3-1 (เหย้า), ชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย 3-0 (เยือน)
ชนะ โอลิมเปียกอส 3-0 (เหย้า), ชนะ โอลิมเปียกอส 1-0 (เยือน), เสมอ ปอร์โต้ 0-0 (เยือน)
ชนะ โอลิมปิก มาร์กเซย 3-0 (เหย้า)
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค 4-0 (2-0 เยือน*, 2-0 เหย้า*)
รอบก่อนรองฯ : ชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 4-2 (2-1 เหย้า, 2-1 เยือน)
รอบรองฯ : ชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 4-1 (2-1 เยือน, 2-0 เหย้า)
(ที่มีเครื่องหมาย * คือเตะสนามกลาง)
**เชลซี
ต้องชื่นชมกุนซือ โธมัส ทูเคิ่ล ที่เข้ามาช่วยยกระดับ เชลซี ได้แบบทันตาเห็น และตอนนี้ก็พาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก เรียบร้อย ซึ่งถือเป็นประสบการณ์รอบชิงฯ สองซีซั่นติดสำหรับเจ้าตัวด้วย (ฤดูกาลที่แล้วคุม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 0-1) โดยผลงานในถ้วย "บิ๊กเอียร์" ของ "สิงห์บลูส์" ฤดูกาลนี้ พวกเขาผ่านจากรอบแบ่งกลุ่มได้แบบไม่ยากเย็น ส่วนในรอบน็อกเอาต์ ถึงแม้เจอของแข็งๆ อย่าง แอตเลติโก มาดริด, ปอร์โต้ และ เรอัล มาดริด แต่พวกเขาก็ผ่านมาได้หมด โดยเฉพาะ 4 เกมที่เจอกับสองยักษ์ใหญ่แห่งกรุงมาดริดนั้น ชนะไปถึง 3 นัด และเสมอ 1 ถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมากๆ และด้วยผลงานแบบนี้ แน่นอนว่า แฟนๆ เชลซี คงคาดหวังไม่น้อย ที่จะเห็นทีมรักคว้าแชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่สอง ต่อจากเมื่อฤดูกาล 2011/12 ซึ่งมันก็ห่างมาถึง 9 ปีแล้ว และอย่าลืมว่า ฤดูกาลนี้พวกเขายังมีลุ้นแชมป์ เอฟเอ คัพ อีกรายการด้วย (เตะรอบชิงฯ กับ เลสเตอร์ ซิตี้ วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม)
**ผลงานใน ชปล. ซีซั่นนี้
สถิติ : ชนะ 8, เสมอ 3, แพ้ 1, ยิงได้ 22, เสีย 4
ดาวซัลโวสูงสุด : โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ (6 ประตู)
รอบแบ่งกลุ่ม : แชมป์กลุ่ม อี, เสมอ เซบีย่า 0-0 (เหย้า), ชนะ คราสโนดาร์ 4-0 (เยือน)
ชนะ แรนส์ 3-0 (เหย้า), ชนะ แรนส์ 2-1 (เยือน), ชนะ เซบีย่า 4-0 (เยือน), เสมอ คราสโนดาร์ 1-1 (เหย้า)
รอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-0 (1-0 เยือน*, 2-0 เหย้า)
รอบก่อนรองฯ : ชนะ ปอร์โต้ 2-1 (2-0 เยือน*, 0-1 เหย้า*)
รอบรองฯ : ชนะ เรอัล มาดริด 3-1 (1-1 เยือน, 2-0 เหย้า)
(ที่มีเครื่องหมาย * คือเตะสนามกลาง)